
การเลือกขนาดแอร์(ขนาดBTU ของแอร์)ให้เหมาะสมกับพื้นที่การใช้งานเป็นปัจจัยหลักในการช่วยให้คุณประหยัดค่าไฟ หากเราเลือกขนาด BTU ของแอร์ที่เล็กเกินไป อาจทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานตลอดเวลา เนื่องจากแอร์ไม่สามารถทำอุณหภูมิที่ตั้งเอาไว้ได้ ซึ่งการที่คอมเพรสเซอร์ทำงานตลอดเวลาเป็นการเปลืองค่าไฟ นอกจากค่าไฟจะสูงแล้วแอร์ยังไม่สามารถทำอุณหภูมิที่เราตั้งไว้ได้ด้วย
ปัจจัยในการเลือกขนาด BTU ของแอร์มีดังต่อไปนี้
1. ความกว้าง ความยาว และความสูง ของห้อง
2. ค่าตัวแปรที่สำหรับการคูณ มีดังต่อไปนี้
- 750 สำหรับห้องพักที่ไม่โดนแดด
- 800 สำหรับห้องพักที่โดนแดด
- 850 สำหรับห้องทำงานที่ไม่โดนแดด
- 900 สำหรับห้องทำงานที่โดนแดด
- 950 – 1,100 สำหรับร้านอาหาร ร้านค้า สำนักงาน หรือห้องที่มีการเข้าออกที่ไม่โดนแดด
- 1,000 – 1,200 สำหรับร้านอาหาร ร้านค้า สำนักงาน หรือห้องที่มีการเข้าออกที่โดนแดด
1,100 – 1,500 สำหรับห้องประชุม ร้านอาหารที่มีเตาร้อน หรือห้องที่มีจำนวนคนมากกว่าปกติ

สูตรการคำนวณ
BTU แอร์สำหรับห้องเพดานไม่สูง = ความกว้าง x ความยาว x ค่าตัวแปร
BTU แอร์สำหรับห้องเพดานสูง = (ความกว้าง x ความยาว x ความสูง x ค่าตัวแปร) / 3
ตัวอย่าง
1. ต้องการติดตั้งเครื่องปรับอากาศในห้องพัก ซึ่งแสงแดดไม่สามารถส่องถึง โดยขนาดห้องพักมีความกว้าง 4 เมตร และความยาว 8 เมตร อยากทราบว่าต้องติดแอร์ขนาด BTU เท่าใด
จากสูตร : BTU แอร์สำหรับห้องเพดานไม่สูง = ความกว้าง x ความยาว x ค่าตัวแปร
= 4 x 8 x 750
= 24,000
ดังนั้น เราจึงควรติดตั้งแอร์ขนาด 24,000 BTU สำหรับห้องพักนี้

2. ต้องการติดตั้งเครื่องปรับอากาศในร้านปิ้งย่างสำหรับ 30 ที่นั่ง โดยขนาดร้านมีความกว้าง 5 เมตร ความยาว 8 เมตร และเพดานสูง 3.2 เมตร อยากทราบว่าต้องติดแอร์ขนาด BTU เท่าใด
จากสูตร : BTU แอร์สำหรับห้องเพดานสูง = (ความกว้าง x ความยาว x ความสูง x ค่าตัวแปร) / 3
= ( 5 x 8 x 3.5 x 1,500 ) / 3
= 70,000
ดังนั้น เราจึงควรติดตั้งแอร์ขนาด 36,000 BTU จำนวน 2 เครื่อง เป็นอย่างน้อย สำหรับร้านอาหารนี้
ข้อสำคัญในการติดตั้งแอร์จำเป็นต้องพิจารณาลมเย็นที่ออกจากเครื่องปรับอากาศด้วย โดยปกติจะติดตั้งให้แอร์มีลมเย็นออกตามทางยาวของห้อง และอยู่ที่จุดกึ่งกลางเพื่อให้การกระจายลมเย็นนั้นทั่วถึง ซึ่งหากห้องที่มีขนาดใหญ่ให้พิจารณาติดตั้งเครื่องปรับอากาศแบบแขวน แบบ4ทิศทาง หรือแบบตู้ เพื่อให้มีกำลังลมที่สามารถกระจายได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะทำให้ทั่วทั้งห้องมีอุณหภูมิตามค่าที่เราตั้งไว้

สำหรับใครที่เวลาเลือกขนาดแอร์เป็นหน่วยตัน (Ton) สามารถแปลงมาเป็น หน่วย BTU ได้ง่ายๆโดย แอร์ขนาด 12,000 BTU เท่ากับ 1 Ton ดังนั้นขนาดแอร์ 36,000 BTU จะเท่ากับแอร์ 3 ตัน นั่นเอง

อีกข้อสังเกตที่เราจำเป็นต้องรู้หากเราต้องการที่จะประหยัดค่าไฟฟ้า คือฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 สำหรับแอร์ฉลมีแยกย่อยอีก 2 ประเภทนั่นคือค่า EER และค่าSEER โดยยิ่งมีต่าสูง ยิ่งประหยัดไฟมาก
1. EER ( Energy Efficiency Ratio) จะแสดงบนแอร์ประเภท Fixed Speed แอร์ประเภทนี้คอมเพรสเซอร์จะไม่สามารถเปลี่ยนความเร็วรอบได้
สูตรการหาค่า EER
EER = ขีดความสามารถทำความเย็น (BTU/hr.) / กำลังไฟฟ้าที่ป้อนเครื่องปรับอากาศ (Watt)
2. SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) จะแสดงบนแอร์ประเภท Inverter แอร์ประเภทนี้คอมเพรสเซอร์สามารถเปลี่ยนความเร็วรอบได้ตามอุณหภูมิแวดล้อม
สูตรการหาค่า SEER
SEER = ผลรวมปริมาณความเย็นที่ได้ (BTU) / ผลรวมพลังงานไฟฟ้าที่ป้อนเครื่องประอากาศ (Wh)
สรุป
ข้อสำคัญในการเลือกซื้อแอร์นั้นมี 2 อย่าง
1. การเลือกขนาด BTU ของแอร์ หากเลือกน้อยเกินไปแอร์จะทำอุณหภูมิที่เราตั้งไว้ไม่ได้ และยังเป็นการเปลืองค่าไฟเนื่องจากคอมเพรสเซอร์ทำงานตลอดเวลา
2. การพิจารณาค่า EER และ SEER โดยค่าแอร์แบบ Fixed Speed จะต้องดูค่า EER ส่วนแบบ Inverter ให้ดูค่าSEER ยิ่งทั้ง 2 ค่านี้มีค่าสูง ประสิทธิภาพการทำความเย็นยิ่งดี ทำให้ประหยัดไฟมากขึ้น แต่แบบInverterจะประหยัดไฟมากกว่าเมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน
