
การเป็นช่างแอร์ที่ดีจำเป็นต้องมีความรู้รอบด้าน ทั้งเรื่องระบบไฟฟ้า วัฏจักรการทำความเย็น การวิเคราะห์สาเหตุ และความรู้อื่นๆ รวมถึงการทำงานอย่างปลอดภัย เพื่อทำการแก้ไขหน้างานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นอกจากความรู้ที่ใช้ปฏิบัติงาน ยังต้องสามารถให้คำแนะนำแก่ลูกค้ากท่านด้วยความซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกขนาดแอร์สำหรับห้องที่ติดตั้งไม่เหมาะสมกับขนาดห้องและโหลดภายในห้อง การเลือกประเภทตามวัตถุประสงค์การใช้งาน การปรับปรุงระบบทำความเย็น รวมถึงการดูแลรักษา
สารบัญ

1. การเลือกขนาดแอร์
ช่างทุกท่านควรมีพื้นฐานความรู้ในการเลือก BTU ของแอร์ให้สัมพันธ์กับขนาดห้อง และโหลดความร้อนภายในห้อง เพื่อแนะนำลูกค้าให้ประหยัดค่าไฟ ยกตัวอย่างเช่น ท่านเลือกแอร์ที่มี BTU น้อยกว่าขนาดห้องและโหลดภายในห้อง คอมเพรสเซอร์แอร์นั้นอาจจะไม่ตัดการทำงาน ซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า แต่หากท่านเลือกแอร์ที่มี BTU มากกว่าขนาดห้องและโหลดภายในห้องมาก ก็จะเป็นการทำให้แอร์คอมเพรสเซอร์ตัดต่อบ่อยครั้งทำให้เกิดค่า Peak ในระบบไฟฟ้า

2. การใช้เครื่องมือวัด
พื้นฐานของช่างทุกประเภทจำเป็นต้องใช้เครื่องมือวัดให้ถูกต้อง และเหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ช่างทุกท่านจะทำการวัด ไม่เช่นนั้นการวัดอาจะเกิดข้อบกพร่อง ผิดเพี้ยนไปจากเดิมจนช่างทุกท่านวิเคราะห์ สาเหตุและอาการผิดพลาดได้ ยกตัวอย่างเช่นการวัดกระแสคอมเพรสเซอร์ขนาด 18,000 BTU ที่มีอัตราการกินกระแสประมาณไม่เกิน 8 แอมป์ หากใช้ย่านวัดที่มากเกินไปเช่นเลือกย่านวัดที่ 200 แอมป์ ก็จะทำให้ค่าที่ได้นั้นผิดเพี้ยน

3. การเช็คอุปกรณ์
การเช็คอุปกรณ์มีส่วนสำคัญอย่างมากในการซ่อมแอร์ เนื่องจากอาจทำให้ราคาค่าซ่อมนั้นสูงขึ้นโดยไม่จำเป็นหากท่านตรวจสอบอุปกรณ์ผิดพลาดโดยได้ผลว่าอุปกรณ์ไม่สามารถใช้งานได้ แต่จริงๆนั้นอุปกรณ์ยังสามารถทำงานได้อยู่ เช่น การตรวจสอบคาปาซิเตอร์ต่างๆ ที่มีค่าบวก/ลบ ช่างควรคำนวณค่าบวก/ลบนั้นด้วย ก่อนพิจารณาการเปลี่ยน หรือการตรวจสอบการทำงานของคอมเพรสเซอร์

4. ระบบไฟฟ้า
ความรู้เบื้องต้นของช่างทุกท่านคือระบบไฟฟ้า จำเป็นต้องอ่านสัญลักษณ์การต่อวงจร และเลือกใช้ขนาดสายไฟที่มาใช้ได้ถูกต้อง รวมถึงความหมายของสีของสายไฟที่ช่างทุกท่านเลือกใช้ โดยขนาดสายไฟส่วนมากที่ผู้ผลิตแอร์กำหนด แอร์ขนาด 9,000 BTU ใช้สายไฟ 2.5 ตร.มม. / แอร์ขนาด 12,000 BTU ใช้สายไฟ 4 ตร.มม. / แอร์ขนาด 18,000 BTU ใช้สายไฟ 6 ตร.มม. เป็นต้น

5. วงจรระบบแอร์
ช่างทุกท่านควรเข้าใจระบบแอร์ หน้าที่ และความสำคัญต่างๆของอุปกรณ์ ว่ามีอะไรบ้าง ใช้งานอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น คอมเพรสเซอร์ เป็นอุปกรณ์ดูดและอัดน้ำยาแอร์ที่มีสถานะก๊าซ ไม่สามารถอัดน้ำยาที่เป็นของเหลวได้, คอนเดนเซอร์มีหน้าที่ระบายความร้อนน้ำยาแอร์ที่มีแรงดันสูงกับบรรยากาศ ,Capilaly Tube มีหน้าที่ลดแรงดันของน้ำยาแอร์ที่เป็นก๊าซ ให้มีแรงดันต่ำและมีสถานะเป็นของเหลว ซึ่งความเข้าใจเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์อาการสาเหตุ เพื่อให้ซ่อมได้อย่างตรงจุด ประหยัดเวลา และเงินของลูกค้า

6.วัฏจักรความเย็น
หัวใจของการทำความเย็นคือการเปลี่ยนสถานะของน้ำยาแอร์ ซึ่งมีจุดเดือดที่ต่ำมาก หลักการของสารทำความเย็นนี้คือการทำให้น้ำยาแอร์มีแรงดันที่ต่ำ จึงจะทำให้น้ำยาแอร์เปลี่ยนจากสถานะก๊าซเป็นของเหลว และมีอุณหภูมิติดลบเมื่อสารทำความเย็นที่มีสถานะของเหลวนี้วิ่งผ่านคอยล์เย็น จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความร้อนผ่านผนังท่อทองแดงของคอยล์เย็น โดยมีลมจากพัดลมคอยล์เย็นเป็นตัวช่วยแลกเปลี่ยนความร้อน ซึ่งเมื่อเกิดการแลกเปลี่ยนความร้อนเรียบร้อยน้ำยาแอร์จะเปลี่ยนสถานะเป็นก๊าซและถูกส่งต่อไปยังคอมเพรสเซอร์ต่อไป

7. สาเหตุ และการซ่อม
การวิเคราะห์สาเหตุอาการของแอร์ที่มีปัญหา ต้องมีพื้นฐานทั้ง ระบบไฟฟ้า ระบบแอร์ และวัฏจักรการทำความเย็น จึงสามารถวิเคราะห์อาการ สาเหตุที่แท้จริงได้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการซ่อม โดยทั่วไปปัญหาส่วนใหญ่ของการซ่อมแอร์คือ แอร์ไม่เย็น ซึ่งก็มีขั้นตอนการตรวจสอบตั้งแต่ง่ายไปถึงขั้นตอนที่ซับซ้อน ตั้งแต่การตรวจสอบความสะอาดคอยล์เย็น-ร้อน ,การทำงานของคอมเพรสเซอร์ , น้ำยาแอร์ ,พัดลมคอยล์เย็น-ร้อน , เซ็นเซอร์คอยล์เย็น ,คาปาซิเตอร์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งที่ง่ายที่สุดที่เคยเจอมา คือการปรับโหมดแอร์ผิดตำแหน่ง

8.งานท่อ และการเชื่อม
เวลาที่ช่างแอร์ทุกท่านตรวจสอบน้ำยาแอร์และพบว่าน้ำยาแอร์ขาดนั้น สาเหตุหลักๆจะรั่วจากจุดต่อของท่อ เช่นจุดที่ช่างทุกท่านบานแฟร์เพื่อเข้าท่อ และอุปกรณ์ต่างๆ ดังนั้นการเชื่อม และการบานแฟร์จึงสำคัญมาก ในการติดตั้งแอร์ให้ลูกค้า ซึ่งการตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำยาแอร์จากท่อคือการทดสอบโดยการใช้สุญญากาศในการทดสอบ หากช่างทุกท่านทำให้ระบบเป็นสูญญากาศแล้วปล่อยไว้สักพักพบว่า เกจตีขึ้นหมายความว่าท่อที่ช่างทุกท่านต่อนั้นรั่วแน่นอน