การเป็นช่างแอร์ที่ดีจำเป็นต้องมีความรู้รอบด้าน ทั้งเรื่องระบบไฟฟ้า วัฏจักรการทำความเย็น การวิเคราะห์สาเหตุ และความรู้อื่นๆ รวมถึงการทำงานอย่างปลอดภัย เพื่อทำการแก้ไขหน้างานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นอกจากความรู้ที่ใช้ปฏิบัติงาน ยังต้องสามารถให้คำแนะนำแก่ลูกค้ากท่านด้วยความซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกขนาดแอร์สำหรับห้องที่ติดตั้งไม่เหมาะสมกับขนาดห้องและโหลดภายในห้อง การเลือกประเภทตามวัตถุประสงค์การใช้งาน การปรับปรุงระบบทำความเย็น รวมถึงการดูแลรักษา

สารบัญ

1. การเลือกขนาดแอร์

2. การใช้เครื่องมือวัด

3. การเช็คอุปกรณ์

4. ระบบไฟฟ้า

5. วงจรระบบแอร์

6.วัฏจักรความเย็น

7. สาเหตุ และการซ่อม

8.งานท่อ และการเชื่อม

ช่างทุกท่านควรมีพื้นฐานความรู้ในการเลือก BTU ของแอร์ให้สัมพันธ์กับขนาดห้อง และโหลดความร้อนภายในห้อง เพื่อแนะนำลูกค้าให้ประหยัดค่าไฟ ยกตัวอย่างเช่น ท่านเลือกแอร์ที่มี BTU น้อยกว่าขนาดห้องและโหลดภายในห้อง คอมเพรสเซอร์แอร์นั้นอาจจะไม่ตัดการทำงาน ซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า แต่หากท่านเลือกแอร์ที่มี BTU มากกว่าขนาดห้องและโหลดภายในห้องมาก ก็จะเป็นการทำให้แอร์คอมเพรสเซอร์ตัดต่อบ่อยครั้งทำให้เกิดค่า Peak ในระบบไฟฟ้า

พื้นฐานของช่างทุกประเภทจำเป็นต้องใช้เครื่องมือวัดให้ถูกต้อง และเหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ช่างทุกท่านจะทำการวัด ไม่เช่นนั้นการวัดอาจะเกิดข้อบกพร่อง ผิดเพี้ยนไปจากเดิมจนช่างทุกท่านวิเคราะห์ สาเหตุและอาการผิดพลาดได้ ยกตัวอย่างเช่นการวัดกระแสคอมเพรสเซอร์ขนาด 18,000 BTU ที่มีอัตราการกินกระแสประมาณไม่เกิน 8 แอมป์ หากใช้ย่านวัดที่มากเกินไปเช่นเลือกย่านวัดที่ 200 แอมป์ ก็จะทำให้ค่าที่ได้นั้นผิดเพี้ยน

การเช็คอุปกรณ์มีส่วนสำคัญอย่างมากในการซ่อมแอร์ เนื่องจากอาจทำให้ราคาค่าซ่อมนั้นสูงขึ้นโดยไม่จำเป็นหากท่านตรวจสอบอุปกรณ์ผิดพลาดโดยได้ผลว่าอุปกรณ์ไม่สามารถใช้งานได้ แต่จริงๆนั้นอุปกรณ์ยังสามารถทำงานได้อยู่ เช่น การตรวจสอบคาปาซิเตอร์ต่างๆ ที่มีค่าบวก/ลบ ช่างควรคำนวณค่าบวก/ลบนั้นด้วย ก่อนพิจารณาการเปลี่ยน หรือการตรวจสอบการทำงานของคอมเพรสเซอร์

ความรู้เบื้องต้นของช่างทุกท่านคือระบบไฟฟ้า จำเป็นต้องอ่านสัญลักษณ์การต่อวงจร และเลือกใช้ขนาดสายไฟที่มาใช้ได้ถูกต้อง รวมถึงความหมายของสีของสายไฟที่ช่างทุกท่านเลือกใช้ โดยขนาดสายไฟส่วนมากที่ผู้ผลิตแอร์กำหนด แอร์ขนาด 9,000 BTU ใช้สายไฟ 2.5 ตร.มม. / แอร์ขนาด 12,000 BTU ใช้สายไฟ 4 ตร.มม. / แอร์ขนาด 18,000 BTU ใช้สายไฟ 6 ตร.มม. เป็นต้น

ช่างทุกท่านควรเข้าใจระบบแอร์ หน้าที่ และความสำคัญต่างๆของอุปกรณ์ ว่ามีอะไรบ้าง ใช้งานอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น คอมเพรสเซอร์ เป็นอุปกรณ์ดูดและอัดน้ำยาแอร์ที่มีสถานะก๊าซ ไม่สามารถอัดน้ำยาที่เป็นของเหลวได้, คอนเดนเซอร์มีหน้าที่ระบายความร้อนน้ำยาแอร์ที่มีแรงดันสูงกับบรรยากาศ ,Capilaly Tube มีหน้าที่ลดแรงดันของน้ำยาแอร์ที่เป็นก๊าซ ให้มีแรงดันต่ำและมีสถานะเป็นของเหลว ซึ่งความเข้าใจเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์อาการสาเหตุ เพื่อให้ซ่อมได้อย่างตรงจุด ประหยัดเวลา และเงินของลูกค้า

หัวใจของการทำความเย็นคือการเปลี่ยนสถานะของน้ำยาแอร์ ซึ่งมีจุดเดือดที่ต่ำมาก หลักการของสารทำความเย็นนี้คือการทำให้น้ำยาแอร์มีแรงดันที่ต่ำ จึงจะทำให้น้ำยาแอร์เปลี่ยนจากสถานะก๊าซเป็นของเหลว และมีอุณหภูมิติดลบเมื่อสารทำความเย็นที่มีสถานะของเหลวนี้วิ่งผ่านคอยล์เย็น จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความร้อนผ่านผนังท่อทองแดงของคอยล์เย็น โดยมีลมจากพัดลมคอยล์เย็นเป็นตัวช่วยแลกเปลี่ยนความร้อน ซึ่งเมื่อเกิดการแลกเปลี่ยนความร้อนเรียบร้อยน้ำยาแอร์จะเปลี่ยนสถานะเป็นก๊าซและถูกส่งต่อไปยังคอมเพรสเซอร์ต่อไป

การวิเคราะห์สาเหตุอาการของแอร์ที่มีปัญหา ต้องมีพื้นฐานทั้ง ระบบไฟฟ้า ระบบแอร์ และวัฏจักรการทำความเย็น จึงสามารถวิเคราะห์อาการ สาเหตุที่แท้จริงได้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการซ่อม โดยทั่วไปปัญหาส่วนใหญ่ของการซ่อมแอร์คือ แอร์ไม่เย็น ซึ่งก็มีขั้นตอนการตรวจสอบตั้งแต่ง่ายไปถึงขั้นตอนที่ซับซ้อน ตั้งแต่การตรวจสอบความสะอาดคอยล์เย็น-ร้อน ,การทำงานของคอมเพรสเซอร์ , น้ำยาแอร์ ,พัดลมคอยล์เย็น-ร้อน , เซ็นเซอร์คอยล์เย็น ,คาปาซิเตอร์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งที่ง่ายที่สุดที่เคยเจอมา คือการปรับโหมดแอร์ผิดตำแหน่ง

เวลาที่ช่างแอร์ทุกท่านตรวจสอบน้ำยาแอร์และพบว่าน้ำยาแอร์ขาดนั้น สาเหตุหลักๆจะรั่วจากจุดต่อของท่อ เช่นจุดที่ช่างทุกท่านบานแฟร์เพื่อเข้าท่อ และอุปกรณ์ต่างๆ ดังนั้นการเชื่อม และการบานแฟร์จึงสำคัญมาก ในการติดตั้งแอร์ให้ลูกค้า ซึ่งการตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำยาแอร์จากท่อคือการทดสอบโดยการใช้สุญญากาศในการทดสอบ หากช่างทุกท่านทำให้ระบบเป็นสูญญากาศแล้วปล่อยไว้สักพักพบว่า เกจตีขึ้นหมายความว่าท่อที่ช่างทุกท่านต่อนั้นรั่วแน่นอน